Monday, October 1, 2012

ใบมะยม ต้านเบาหวาน

 

ต้มดื่มลดน้ำตาล บำรุงตับ 
        
 
          สำหรับ ผู้ที่เป็นเบาหวานน้ำตาลในเลือดสูง วันนี้มีสูตรใบมะยมต้มใบเตยลดน้ำตาลในเลือดมาฝากกันซึ่งมีสรรพคุณทั้งต้าน เบาหวานและบำรุงตับอ่อน

          วิธี ทำ ใช้ใบมะยมสด และรากเตยสดหรือแห้งก็ได้ ต้มรวมกัน แล้วใช้น้ำมาดื่มกิน ถ้าไม่มีรากเตย ก็ใช้ใบมะยมอย่างเดียว (ใส่มะตูมแห้งแบบเป็นแผ่นเพิ่มได้) เมื่อกินใบมะยมระยะแรก จะกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตน้ำตาลมากกว่าเดิมแต่ไม่เพลียไม่เหนื่อย ต่อไปเมื่อตับอ่อนแข็งแรงแล้ว ตับอ่อนจะทำงานของมันเองได้เต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาอินซูลินจากภายนอก แล้วตับอ่อนจะคุมน้ำตาลด้วยตัวของมันเองและใบมะยมจะกระตุ้นน้ำตาลให้ขึ้นไป เลี้ยงสมอง ถ้าต้มใบมะยม กินน้ำควรกินให้หมดภายในวันนั้น ก็จะได้โอสถสาร ต้มใบมะยมรวมกับรากใบเตยจะได้รากเตยมาช่วยฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง

         คน ที่เป็นเบาหวานแต่อยากกินของหวาน ก็กินใบมะยมสด ๆ สัก 2-3 ก้าน (ก้านไม่ต้องกิน) ลงไปรองท้องก่อน เคี้ยวไม่ไหวก็ปั่นกินได้แล้วจึงกินของหวาน กากใยของใบมะยมจะช่วยดูดซับน้ำตาล ไม่ให้ดูดซึมเข้ากระแสเลือด และเมื่อกินของหวานแล้วก็กินน้ำสำรองตาม เพื่ออมกากใยไว้รอการขับถ่าย (ใบมะยมใช้กินสด ๆ จิ้มน้ำพริกได้, แกงเรียงใส่ใบมะยมได้)

 

มะยม สมุนไพร ยารักษาโรคผิวหนัง

 

มะยม
มะยม
ถ้าพูดถึง มะยม คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะตอนเด็กๆหลายๆคนอาจจะเคยปีนต้นมะยมกันอยู่บ้าง มะยม  นอกจากมีรสชาติที่เปรี้ยวจนเข็ดฟันแล้ว มะยม ยังเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ทางด้านอื่นๆอีกด้วย วันนี้จะพาไปรู้จักสรรพคุณของมะยมกันค่ะ

ต้นมะยม
ต้นมะยม
ส่วนที่ใช้ : ใบตัวผู้ ผลตัวเมีย รากตัวผู้
สรรพคุณ : มะยม
ใบตัวผู้มะยม - แก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง
ปรุงในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้
ผลตัวเมียมะยม - ใช้เป็นอาหารรับประทาน
รากตัวผู้มะยม - แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้ประดง แก้เม็ดผื่นคัน ขับน้ำเหลืองให้แห้ง
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบตัวผู้ หรือรากตัวผู้ ต้มน้ำดื่ม
สารเคมี
ผลมะยม มี tannin, dextrose, levulose, sucrose, vitamin C
รากมะยม มี beta-amyrin, phyllanthol, tannin saponin, gallic acid

 

ต้นมะยม [Star Gooseberry]

ชื่อวิทยาศาสตร์
Phyllanthus acidus Skeels
ชื่อวงศ์
EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ
Star Gooseberry
ชื่อท้องถิ่น
•ทั่วไป เรียก มะยม
•ภาคอีสาน เรียก หมักยม, หมากยม
•ภาคใต้ เรียก ยม
รสและประโยชน์ต่อสุขภาพ  :  ยอด รสฝาด รสมัน กลิ่นหอม สรรพคุณ ดับพิษไข้ แก้ไข้
ลักษณะทั่วไปของมะยม : มะยมคือพืชพันธุ์ดั้งเดิมถิ่นแหลมทองลำต้นสูงประมาณ ๔ ถึง ๗ เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกเป็นปุ่มปมอันเกิดจากแผลเป็นของก้านใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว ใบเรียงสลับกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นประเภทขนนก คือมีใบย่อยเรียงอยู่ ๒ ด้านของก้านใบรวมขนาดใหญ่ ยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยเป็นรูปไข่เบี้ยว ปลายใบแหลม ก้นใบค่อนข้างกลม ด้านบนใบสีเขียวอ่อน ด้านล่างสีขาวนวลอมเขียว ดอกออกเป็นช่อตามลำต้นและกิ่งก้านที่ไม่มีใบ เป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้มีมากกว่าดอกตัวเมีย บางครั้งมีเฉพาะดอกตัวผู้ทั้งต้น จึงไม่ติดผลเลย เรียกกันว่า มะยมตัวผู้
 
 
   
 
 

 
 


กลีบดอกขนาดเล็กสีชมพู เมื่อติดผลมักอยู่รวมเป็นพวง ผลค่อนข้างกลม ก้นแบน จุกด้านบนบริเวณก้านผลบุ๋มลงไป ด้านข้างผลมีลักษณะเป็นพูมนๆ ๖ ถึง ๘ พู ผิวของผลดิบจะมีสีเขียวอ่อนบาง มีน้ำในผลมากเช่นเดียวกับตะลิงปลิงและมะเฟือง ผลสุกผิวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาลอ่อน เนื้ออ่อนนุ่มและไม่ฉ่ำน้ำมากเหมือนตอนดิบ เมล็ดในผลมีลักษณะเป็นพูๆ เช่นเดียวกับผล มีสีน้ำตาล ผลละหนึ่งเมล็ด หากสังเกตชื่อวิทยาศาสตร์ของมะยม จะพบว่าชื่อชนิดคือ acidus หมายถึง กรด คงมาจากลักษณะผลฉ่ำน้ำของมะยมนั่นเอง เพราะมะยมดิบมีน้ำมาก น้ำมะยมนั้นมีกรดอยู่มากจึงมีรสเปรี้ยวจัด เป็นลักษณะเด่นของมะยม ปกติมะยมจะมีรสเปรี้ยว แต่มะยมบางต้นผลจะมีรสจืด เพราะมีกรดน้อย เรียกกันว่ามะยมหวาน ความจริงไม่มีรสหวานเลย น่าจะเรียกว่ามะยมจืดมากกว่า เชื่อว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของมะยมอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่คนไทยเคยเรียกว่าถิ่นแหลมทองนี้เอง จึงนับว่ามะยมเป็นพืชคู่บ้านคู่เมืองของคนไทยมาตั้งแต่เดิม คนไทยจึงมีความผูกพันกับมะยมมาเนิ่นนานและลึกซึ้งในหลายๆด้าน

มะยม

มะยม

ชื่อวิทยาศาสตร์

Phyllanthus acidus Skeels

ชื่อวงศ์

EUPHORBIACEAE

ชื่อสามัญ

Star Gooseberry

ชื่อท้องถิ่น

  • ทั่วไป เรียก มะยม
  • ภาคอีสาน เรียก หมักยม, หมากยม
  • ภาคใต้ เรียก ยม

ลักษณะทั่วไป

มะยมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3–10 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาบริเวณ ปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล ใบ เป็นใบรวม มีใบย่อยออกเรียงแบบ สลับกันเป็น 2 แถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20–30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อๆ ผล เมื่อ อ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด

การปลูก

มะยมเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีทั้งที่แดดจัด หรือในที่ร่มรำไร ปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอเหมาะ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

สรรพคุณทางยา

  • ราก รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ
  • เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ และแก้เม็ดผดผื่นคัน
  • ใบ รสจืดมัน ปรุงเป็นส่วนประของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้คัน ไข้หัด เหือด และสุกใส
  • ดอก ดอกสดใช้ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระล้างในตา
  • ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต และระบายท้อง

คติความเชื่อ

ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง กล่าวว่ามะยมเป็นต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) เพื่อป้องกัน ความถ่อย ถ้อยความ และผีร้ายมิให้มากล้ำกราย ในบางตำราก็ว่า เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ปลูกแล้วผู้ คนจะได้นิยมเหมือนมี นะเมตตามหานิยม
มะยม
มะยม นั้นเป็นไม้ผลที่มีนิสัยทนแล้งได้ดีค่ะ แม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่มีมะยมพันธุ์ต่าง ๆ ให้เรียกชื่อกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เนื่องจากมะยมไม่ใช่ไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ไม่มีการคัดเลือกต้นพันธุ์กันอย่างจริงจัง มีเพียงการเรียกมะยมตามลักษณะของรสชาดและขนาดของผลเท่านั้น เช่น มะยมหวาน มะยมเปรี้ยว มะยมผลใหญ่ มะยมผลเล็ก ดังนั้น หากเราต้องการปลูกมะยม ก็ควรเก็บเมล็ดจากต้นพันธุ์ที่เราเห็นว่าผลดก มีผลขนาดใหญ่ และรสชาดดี มาปลูกเพื่อเป็นการตัดเลือกพันธุ์ไปในตัวน่ะนะคะ





การ ปลูกมะยม นั้นก็เหมือนกับการปลูกไม้ผล เขตร้อนทั่ว ๆ ไปค่ะ ควรเว้นระยะการปลูกระหว่างต้น ราว 4-8 เมตร ตัดแต่งทรงพุ่มเมื่อต้นมะยมโตตามขนาดที่ต้องการ

มะยมมักไม่ค่อยเป็นโรค มีแต่แมลงเช่น หนอนผีเสื้อกัดกินใบ และหนอนเจาะกิ่งและลำต้นเท่านั้น และจะออกดอกในกิ่งที่เป็นกิ่งแก่ค่ะ โดยช่อดอกหรือกระจุกดอกนั้นอาจมีใบปนอยู่ด้วยก็ได้ ผลมีลักษณะกลมป้อม มีน้ำมาก บางต้นออกผลดกจนแทบไม่เห็นกิ่ง บางต้นก็ออกประปราย แต่ส่วนใหญ่แล้วออกดอกผลดก ใบมะยมอ่อน ๆ สามารถนำมาเป็นผักแนมกับส้มตำได้อร่อยนะคะ รสชาดของผลโดยทั่วไปก็จะเปรี้ยว แต่ถ้าผลยังอ่อนอยู่ก็จะมีรสชาดค่อนข้างฝาดค่ะ :)
 ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Phyllanthus acidus  (L.) Skeels

ชื่อสามัญ :   Star Gooseberry

วงศ์ :   Euphorbiaceae

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล ใบ เป็นใบรวม มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็น 2 แถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20 – 30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อๆ ผล เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด

ส่วนที่ใช้ :  ใบตัวผู้ ผลตัวเมีย รากตัวผู้
สรรพคุณ :

    ใบตัวผู้  -   แก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง ปรุงในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้

    ผลตัวเมีย  - ใช้เป็นอาหารรับประทาน

    รากตัวผู้  -  แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้ประดง แก้เม็ดผื่นคัน ขับน้ำเหลืองให้แห้ง

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบตัวผู้ หรือรากตัวผู้ ต้มน้ำดื่ม
สารเคมี

    ผล  มี tannin, dextrose, levulose, sucrose, vitamin C

    ราก  มี beta-amyrin, phyllanthol, tannin saponin, gallic acid

มะยม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มะยม

ผล
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Plantae
ดิวิชั่น:พืชดอก Magnoliophyta
ชั้น:พืชใบเลี้ยงคู่ Magnoliopsida
อันดับ:Malpighiales
วงศ์:Phyllanthaceae
เผ่า:Phyllantheae
เผ่าย่อย:Flueggeinae
สกุล:Phyllanthus
สปีชีส์:P. acidus
ชื่อทวินาม
Phyllanthus acidus
(L.) Skeels.
ชื่อพ้อง
Phyllanthus distichus Müll.Arg.
Cicca acida Merr.
Cicca disticha L.
Averrhoa acida L.
มะยม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Phyllanthus acidus) ภาคอีสานเรียกว่า หมากยม ภาคใต้เรียกว่า ยม เป็นไม้ยืนต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 3 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล แตกกิ่งที่ปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย ใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็น 2 แถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20 – 30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อๆ ติดผลเป็นพวง ผลมีสามพูชัดเจน เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด มีทั้งพันธุ์เปรี้ยวและพันธุ์หวาน ซึ่งมีรสหวานอมฝาด[1] ผลจะอ่อนนุ่มเมื่อสุก จึงเก็บเกี่ยวก่อนผลจะหล่นจากต้น [2]

การใช้ประโยชน์

มะยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและแปรรูป เช่น แช่อิ่ม ดอง น้ำมะยม แยม หรือกวน ใช้ทำส้มตำ ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสด กินกับน้ำพริก ลาบ ส้มตำ ขนมจีน ในฟิลิปปินส์ใช้ทำน้ำส้มสายชู หรือกินดิบหรือดองในเกลือและน้ำส้มสายชู ในมาเลเซียนิยมนำไปเชื่อม ในอินเดียและอินโดนีเซียนิยมนำใบมะยมไปประกอบอาหาร[3]
ผลมะยมมีฤทธิ์กัดเสมหะและเป็นยาระบาย ใบเป็นส่วนประกอบของยาเขียว[1] ตำราไทยใช้ รากแก้ไข รักษาโรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน ใบ ต้มน้ำอาบแก้คัน แก้ไข้ เหือด หิด อีสุกอีใส ในผลมีแทนนิน เดกซ์โทรส เลวูโลส ซูโครส วิตามินซี ในรากมี beta-amyrin, phyllanthol, แทนนิน ซาโปนิน กรดแกลลิก สารสกัดจากมะยมที่สกัดด้วยเอทานอลมีประสิทธิภาพดีทในการยับยั้งการเจริญของ E. coli O157:H7 และ Propionibacterium acnes[4]

รวมภาพ

อ้างอิง

  1. ^ 1.0 1.1 นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. มะยม ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 179
  2. ^ Morton, Julia. "A Fast Growing Vine", The Miami News, 16 June 1963. สืบค้นวันที่ 30 October 2011
  3. ^ National Geographic (18 November 2008). Edible: an Illustrated Guide to the World's Food Plants. National Geographic Books. p. 110. ISBN 978-1-4262-0372-5. http://books.google.com/books?id=HORIzBx17DYC&pg=PA110. เรียกข้อมูลเมื่อ 30 October 2011.
  4. ^ อัฐญาพร ชัยชมภู และนฤมล ทองไว. 2554. การยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดโดยใช้สารสกัดสมุนไพรพื้นบ้าน. การประชุมวิชาการครั้งที่ 8 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน